วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เก็บไว้อ่านตอนหมดกำลังใจ

  1. โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
  2. อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง
  3. คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
  4. ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
  5. ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
  6. ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
  7. ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด
  8. เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
  9. ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไรหนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
  10. ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
  11. จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
  12. อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง
  13. เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
  14. อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
  15. จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
  16. เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
  17. ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ
  18. ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
  19. หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
  20. ไม่เป็นขุนนางน่ะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
  21. มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
  22. อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน
  23. เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้
  24. เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
  25. เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
  26. เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
  27. เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
  28. เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
  29. เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา

ฉันอยากจะเป็นอะไร


"ฉันอยากเป็นอะไรกันแน่"

ตอนป.๔ ฉันชอบขีดเขียนเส้นตรงและเส้นโค้งต่างๆ ลงในสมุดสีขาว
เพราะฉันอยากได้บ้านหลังใหม่ที่มันน่าอยู่มากกว่านี้

ถัดมาอีกสองปี ฉันออกวิ่งทุกวันหลังเลิกเรียน
เพราะคุณครูบอกว่า "ฉันวิ่งเร็วที่สุด"

พอขึ้นม.๑ ฉันไปยืนเป่าคาริเน็ทอยู่ในวงโยธวาธิต
เพราะเพื่อนคนหนึ่งลากไปกรอกใบสมัครด้วยกัน

จบ ม.๓ ...... ฉันไปสอบที่ไหนไม่ติด
ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร จะทำอะไร และจะเรียนต่อที่ไหน


รู้ตัวอีกทีก็นั่งเรียน ม.๔ ในห้องบ๊วย ห้องเรียนที่ไม่มีใครสนใจ


เกือบหนึ่งปีที่อยู่ที่นี่ ฉันรู้สึกทุกข์ทรมาน รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง
รู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำของสังคม ไม่ได้รับการเอาใจใส่แบบเดิม
เพียงเพราะพวกเราเป็นเด็กห้องบ๊วย ห้องเรียนที่ถูกตราหน้าว่า เป็นพวกเด็กไม่เอาไหน


ทั้งๆที่ ฉันเคยเป็นหัวหน้าห้อง เป็นเด็กเรียนดีและเคยเรียนอยู่ห้องควีนมาก่อน
ฉันเคยแข่งชนะการวาดรูป เคยวิ่งได้เหรียญทอง
เคยเป็นหัวหน้าวงดนตรี และ ได้เล่นดนตรีต่อหน้าพระที่นั่ง มาแล้ว


ฉันเริ่มรู้สึกว่า ในโลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรม ฉันเริ่มกลัว และต้องหาที่อยู่ใหม่


ในปีนั้น ฉันซ้อมดนตรีอย่างหนัก ในกระเป๋ามีแต่สมุดวาดรูป
ฉันวิ่งกลับบ้านแข่งกับรถเมล์หลังเลิกเรียนทุกวัน
เพียงเพื่อ ฉันจะได้รู้สึกว่าตัวเองยังมีค่าอยู่

ฉันทำแบบนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน จนฉันเริ่มหลงใหล
ฉันมีความสุขกับเสียงเครื่องเป่าของตัวเอง สนุกกับการวาดภาพสีน้ำ
และปลดปล่อยตัวเองด้วยการวิ่ง วิ่ง วิ่ง และก็วิ่ง


จนฉันวิ่งไปเจอ วิชาการถ่ายภาพ จากหนังสือที่ฉันเอามาเป็นแบบต้นแบบสำหรับการวาดรูป


ภาพถ่ายและกล้องถ่ายรูปในหนังสือเล่มนั้น
เริ่มมีมนต์เสน่ห์กับฉันอีกครั้ง
มันสวยงามซะยิ่งกว่าสิ่งใดๆ
จนฉันหลงใหลและฝันอยากเป็น....ช่างภาพ


ปีถัดมาฉันมายืนอยู่ในแผนกที่เรียกว่า "วิชาการถ่ายภาพและภาพยนตร์"

ฉันหลงใหลที่นี่ และมีเพื่อนเล่นดนตรีกลุ่มใหม่
ฉันตระเวณออกถ่ายรูป และ ออกเล่นดนตรีกับวงลูกทุ่งตามต่างจังหวัด

ทุกอย่างดูสวยงาม มีความสุข ที่นี่มีทุกอย่างที่ฉันชอบ
ฉันใช้ชีวิตอยู่กับที่นี่ เป็นเวลา ๕ ปี ฉันก็จบหลักสูตร

ทุกอย่างเหมือนวนกลับมาอีกครั้ง
ฉันต้องจากที่นี่ไป....ฉันต้องออกไปหางานทำ

ฉันเริ่มหวาดกลัว......

ฉันเริ่มงานครั้งแรกกับจอคอมพิวเตอร์ในห้องสีมืดๆ ดำๆ
วันๆได้แต่นั่งอยู่ในนี้ จนฉันรู้สึกเหมือนว่า.....

ฉันกำลังติดคุก

มีคนเอาข้าวเอาน้ำมาส่ง มีข้อความมาบอกว่าฉันต้องทำอะไรบ้าง
ฉันไปไหนไม่ได้ ไม่ได้กลับบ้าน กินและนอนที่นั่น


ฉันได้แต่มองภาพถ่ายที่อยู่บนหน้าจอวิ่งไปวิ่งมา
เห็นผู้คนต่างๆ มากมาย ได้ยินเสียงหัวเราะต่อกระซิบ
ได้ยินเสียงภูเขา ได้ยินเสียงแม่น้ำ ได้ยิงเสียงต่างนานา
แต่ฉันกลับไปอยู่ตรงนั้นไม่ได้


หัวใจฉันเริ่มขึ้นสนิม

ฉันรู้สึก อดรนทนไม่ได้ กับสิ่งที่เกิดขึ้น
และแล้ววันหนึ่ง ฉันก็ต้องตัดสินใจอีกครั้ง
ฉันอยากไปผจญโลกกว้าง อยากออกไปพบปะผู้คน
ฉันอยากมีชีวิตใหม่ บนโลกใบใหม่

มีหลายคนบอกว่ามันเสี่ยงมาก แต่ฉันไม่เคยกลัว
ฉันตัดสินใจลาออกและตระเวณออกหางานอีกครั้ง
เงินในกระเป๋าเริ่ม ละลายหายไปทุกทีๆ

ตอนนั้นฉันตระเวณออกไปสมัครงาน และก็สมัครงาน จนในที่สุด
เพื่อนตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็มาชวนฉันไปทำงานด้วย
ฉันก็ได้มายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ขุนเขา กองถ่ายหนัง
ฉันเริ่มงานใหม่ด้วยความรัก และหวังอยู่เงียบๆว่า

สักวันฉันจะมีหนังเป็นของตัวเอง

ฉันต้องใช้ความอดทนอย่างสูง ตลอดเวลาที่ทำงาน
เพราะฉันมีนาฬิกาชิวิตที่ ปรับอย่างไรก็ไม่ตรงกับใคร


เพื่อนฝูงที่เคยจับมือมาด้วยกัน เริ่มหนีไปทีละคนสองคน
แต่ฉันก็ไม่เคยท้อถอย เฝ้าอดทนกับสิ่งที่ฉันเลือก...ต่อไป

จนถึงวันนี้ ผ่านมาแล้ว เกือบสิบเอ็ดปี ...

เป็นสิบเอ็ดปีที่ฉันรอคอย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะรอคอยมัน
เพราะมีผู้ชายคนหนึ่งพร่ำเพียรสอนฉันตลอดเวลาว่า

สิ่งที่แตกต่างของคนเราทุกๆคนก็คือโอกาส

เราไม่มีทางรู้หรอกว่า ในชีวิตของเรา จะมีซักกี่โอกาส
และไม่รู้หรอกว่า โอกาสนั้นมันจะลอยมาตอนไหน
หากมันลอยมาตอนที่เรายังไม่พร้อม คุณก็เสียโอกาสนั้นไป

หากมันมาตอนที่คุณพร้อมคุณก็ได้มันไป


ที่ทำได้ก็แค่เฝ้ารอ


สำหรับคนบางคน ทั้งชีวิต อาจมีโอกาสแค่ครั้งเดียว บางคนอาจมี จนนับครั้งไม่ถ้วน

หากมันไม่ลอยมาเลยอีกล่ะ เราจะทำอย่างไร

ดังนั้น ที่ควรทำตอนนี้คือ การฝึกฝนตัวเอง
เราควรฝึกตัวเองไว้ให้พร้อม เพื่อรอรับกับโอกาส

เพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่า มันจะลอยมาอีกเมื่อใด

เมื่อเราพร้อมแล้ว และโอกาสนั้นก็ไม่มาซักที
เราก็ควรที่จะเดินหน้า เพื่อไปค้นหาโอกาสนั้น


ฉันฟังคำสอนเหล่าอย่างตั้งใจ ...
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีอะไรยากเกินไปสำหรับฉัน

หากฉันเพีียงแต่หมั่นเพียรถามหัวใจตัวเองให้แน่ว่า


" ฉันอยากเป็นอะไร "

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เป็นไปไม่ได้

ตอนถ่ายเพลงนี้ จำได้ว่าน้าหงาแกอึดอัดมาก
เนื่องจากแกไม่คุ้นเคยกับเสื้อผ้าที่เราจัดหามาให้
พอหน้าหงาแต่งตัวเสร็จ แกเดินมาหาผมแล้วบอกว่า

" เป็นไปไม่ได้ "
เป็นไปไม่ได้
ผมหันไปยิ้มกับแกแล้วก็บอกว่า ครับ เพลงต่อไป คือ เป็นไปไม่ได้


Intro: Eb Cm6 Gdim Bb7sus4

Eb Cm6 Fm7 Bb7
ถ้าฉันมี สิบหน้า อย่างทศกัณฐ์
Eb Eb7 Fm Bb7sus4
สิบหน้านั้น ฉันจะหัน มายิ้มให้เธอ
Eb Cm Ab Bb7
สิบลิ้น สิบปาก จะฝากคำพร่ำเพ้อ
Eb Cm Fm Bb7sus4
ว่ารักเธอ รักเธอ เป็นเสียงเดียว

Eb Cm Fm7 Bb7

ถ้าฉันมี ยี่สิบตา อย่างทศกัณฐ์
Eb Eb7 Ab Gm7 Fm7 Bb7
ยิ่สิบตา ของฉัน จะมองเธอไม่เหลียว
Cm Cm7 C7sus4
ยี่สิบแขน จะสวมสอด กอดเธอผู้เดียว
Fm7 Bb7 Eb Bb7
ยี่สิบสีดา อย่ามาเกี้ยว ไม่แลเหลียวมอง

Instru: Eb Cm Fm7 Bb7sus4

Eb Cm6 Fm7 Bb7
แต่ฉันมี หน้าเดียว ซีดเซียวทุกข์ทน
Eb Eb7 Fm7 Bb7sus4
ด้วยความจน ความขัดสน จนเงินและทอง
Eb Cm Ab Bb7
หนึ่งลิ้น หนึ่งปาก ไม่อาจจะผยอง
Eb Cm Fm7 Bb7sus4
ว่าฉันปอง ฉันปอง เธอแม้เงา

Eb Cm6 Fm7 Bb7
และฉันมี ตาคู่เดียว แลเหลียวเมียงมอง
Eb Eb7 Ab Gm7 Fm7 Bb7
อีกมือสอง ของฉัน มันอาภัพอับเฉา
Cm Cm7 C7sus4
ดาวจากสรวง หรือจะร่วง สู่ทรวงอกเรา
Fm7 Bb7 Eb
ได้แต่ซบเซา เศร้าลำเค็ญ เป็นไปไม่ได้

Instru: Eb Eb Ab Abm Bmaj9 Ebmaj7

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

to be love

เป็นชื่อดั้งเดิมของ

ภาพยนตร์เรื่อง ...เฟวา โพคารา ดวงตากับความรัก

ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นภาพยนตร์รัก ขนาดน่ารัก
เดินทางไปปักหลักถ่ายทำที่ประเทศเนปาล
เพื่อต้องการเล่าเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งต้องการหนีตัวเอง
หนีทุกคนบนโลกใบนี้ และไปในที่ซึ่งจะไม่มีใครตามเขาเจอ
และท้ายที่สุดเขาก็ค้นพบความรัก
ความรักที่เขาได้หนีมันมาตลอดชีวิต
ความเหงาอาจจะเป็นด้านตรงข้ามของความรัก

ความรักเป็นแรงบันดาลใจ เป็นพลังชีวิตของมวลมนุษย์
แต่ในมุมกลับแล้วความเหงานั้น สำหรับบางคนมันน่าหลงใหล
น่ารื่นรมย์กว่าความรักมากนัก

ความเหงาจึงเป็นแรงผลักดันของชีวิต
ให้เรามีพลังที่ทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง
โดยเฉพาะการไขว่ค้า ค้นหา ค้นหาความรัก

หนังเรื่องนี้ ถ่ายทำราวๆ ธันวาคม ปี46
และออกฉายในช่วงสั้นๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี47
ในช่วงเทศกาลหนังรัก ราวๆ แค่สองอาทิตย์ก็ต้องออกจากโรง
ผมได้อั้ม อธิชาติมาแสดงนำให้ ส่วนอีกสองคนเป็นนักแสดงใหม

ถึงแม้ว่า...รายละเอียดของม่ัน จะขาดหายไปเยอะมาก
เพราะเราต้องทำหนังให้จบเร็วกว่าที่กำหนดไว้
แต่พวกเราก็ยังรักและประทับใจตลอดช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกัน
ของเพื่อนๆ พี่ๆ และทีมงานที่น่ารักทั้งชาวไทยและชาวเนปาลี

ผมจึงแวะเวียนไปหาพวกเขาทุกคนในทุกๆครั้งที่มีโอกาส

ยังรักและค้นหาความรัก
มาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันตลอดเวลา


ป้ายบอกทางชีวิต

เราทุกคนต่างเป็นนักเดินทางไม่ว่าจะมองมุมใดของชีวิตเรา ก็มีการเดินทางเป็นของตัวเองอยู่ดี

หลายคนน่าจะเคยพลัดหลง
สับสนหรือสงสัยกับเส้นทางของตัวเอง
อย่างน้อยก็น่าจะหลายๆครั้ง ...

สำหรับผม...

จุดเปลี่ยนจริงๆ ครั้งยิ่งใหญ่ของผม ก็น่าจะเป็นตอนที่ตัวเองนั่งเรียนวิชาเลขอยู่ในห้อง

ตอนนั้นก็ราวๆ ปวช.ปีสุดท้าย ของการเรียนถ่ายภาพ
เทียบค่ากับเด็กสายมัธยมก็ น่าจะเป็นช่วง ม.หก
วิชาเลขนี้....สุดโปรดเลยครับ โปรดที่จะให้มันจบไปไวไว

ตลอดเวลาที่นั่งเรียนก็ไม่เข้าใจว่า จะเรียนวิชานี้ไปทำไม
โจทย์มันเริ่มยากขึ้นและยากขึ้นทุกๆวัน
หลักๆ ก็คิดแต่ว่า...เราน่าจะจบออกไปแล้วเป็นช่างภาพ
ออกไปถ่ายรูป เดินถือกล้อง ดูดี มีความสุข

แต่ในวิชานี้ ตัวเลขมันเยอะขึ้น สูตรมันก็ค่อนข้างมากขึ้นๆ เป็นเงาตามตัว
รู้สึกว่า...เหมือนกับเลขพวกนี้มันน่าจะเหมาะกับพวกที่เรียนวิศวะ หรือ นักฟิสิกส์อะไรเทือกๆนั้น
ผมก้มหน้าก้มตา นั่งแทนค่าหาสมการ อะไรคือX อะไรคือY ดูกราฟคว่ำๆ หงายๆ
อยู่พักใหญ่ ก็อดรนทนไม่ไหว ว่าจะเรียนไปทำไม อ้ายสูตรและสมการนรกพวกนี้
จบออกไปก็ถือกล้องออกไปถ่ายรูป อยู่ดี

อย่ากระนั้นเลย ตัดสินใจพรวดพราดยืนขึ้นถามอาจารย์ทันที


ดอกเตอร์....ครับ ทำไมพวกผมต้องเรียนเลขพวกนี้ด้วยครับ มันดูยากมาก
ผมไม่เข้าใจว่ามันจะเอาไปใช้อะไรในชีวิตประจำวันกับการรู้จักไอ้สมการเอ็กซ์
สมการวาย ค่าล๊อกกาลิทึ่ม สูตรนั่นสูตรนี่อีกเต็มไปหมด


ด๊อกเตอร์อึ้งไปนิดหน่อยกับคำถามของผม รวมทั้งเพื่อนๆ บางคนที่มีสีหน้าเห็นด้วยว่า จริงว่ะ


เธอถามแบบนี้ก็ดี แล้ว ดอกเตอร์ตอบสวนขึ้นทันที

เลขน่ะมันมีเอาไว้ให้เรารู้จัก มีเหตุ มีผล
รู้จักที่มา รู้จักตรรกะ รู้จักวิธีคิดและรู้จักวิธีทำ

พวกเธอน่ะถูกฝึกให้รู้จักแต่จินตนาการ จนละเลยเหตุและผล
หากพวกเธอได้แต่คิดเป็น ฝันเป็น แต่ทำจริงไม่ได้ มันจะมีประโยชน์อะไร

ฉะนั้นเธอลองดูนี่

แล้วอาจารย์ก็ขึ้นโจทย์ใหม่บนกระดาน ยกตัวอย่าง เลขง่ายๆ มาข้อหนึ่ง

"เธอเห็นไหมว่า วิชาเลขน่ะมันประกอบไปด้วยโจทย์ วิธีทำ และคำตอบ
เราตั้งโจทย์ ได้วิธีทำ ได้ผลลัพภ์เป็นคำตอบ"

"ความมหัศจรรย์ของมันอยู่ที่ ในโจทย์เดิมมันต้องได้คำตอบเดียว
แต่พวกเธอดูที่วิธีทำซิ....

มีวิธีทำที่........๑

วิธีทำที่..........๒

วิธีทำที่..........๓

และก็วิธีทำที่....๔


เธอเห็นไหมว่าเกิดอะไรขี้น

เราสามารถทำกับมันได้ เป็นสิบวิธี .... หากเรารู้จักมัน


ผมอึ้งไปพักหนึ่ง
เหมือนจะมีคำถาม
แต่ด๊อกเตอร์ก็อธิบายต่อว่า



"กลับกัน เธอดูนี่ ถ้าเรามีคำตอบรออยู่" ตอนนี้คำตอบเปลี่ยนมาเป็นคำถาม
"จากเลขตัวเดิม เธอหาโจทย์ได้กี่โจทย์ในเลข ตัวนี้"

ตอนนั้น บนกระดานดำ โจทย์และวิธีทำต่างๆ ถูกเขียนออกมามากมาย
ที่เราต้องให้พวกเธอเรียนเลข นั่นก็เพราะหัดให้เธอ ดูโจทย์
หัดให้มีเหตุมีผล รู้จักที่มา รู้จักวิธีการคิด รู้จักวิธีการทำ เพื่อผลของมัน นั่นคือ ....คำตอบ


เห็นคำตอบไหม...?

เธออาจจะรู้มาว่าคำตอบในโลกนี้มันช่างมากมาย จริงแล้วไม่ใช่
จริงๆ คำตอบจะมีข้อเดียวเสมอ แต่วิธีการต่างๆ ต่างหากที่มากมาย
คำๆ นี้กระแทกลงไปในหัวอย่ารุนแรงอีกครั้ง

จริงๆ คำตอบจะมีข้อเดียวเสมอ แต่วิธีการต่างๆ ต่างหากที่มีมากมาย


หากแต่พวกเธอคิดออกมาแล้วได้คำตอบ ออกมามากมาย
พวกเธอพึงระลึกไว้เสมอว่า นั่นไม่ใช่คำตอบ

หากแต่ว่ามันเป็นการกลับไปหาคำถาม .. ต่างหาก

ลองย้อนกลับไปถามตัวเองซิว่า อะไรบ้างที่ คิดแล้วได้คำตอบมากมาย
อันนั้นเป็นคำตอบที่ถูกต้องไหม ? คำตอบนั้นเป็นคำตอบไหม ?
หรือคำตอบกลายเป็นคำถามมันจึงออกมามากมายขนาดนั้น


ผมนิ่ง อึ้ง ... กับคำตอบ ที่แสนจะมากมาย
ของผมและของด๊อกเตอร์เอง

ผมเริ่มนิ่งเงียบและนั่งดูด๊อกเตอร์ต่อไปเรื่อยๆ

"ลองดูวิธีทำซิ" ดอกเตอร์ขึ้นตัวเลขใหม่บนกระดาน
"มันก็ไม่ต่างจากวิธีการคิด ของพวกเธอ
มีทั้งแบบสั้น แบบยาว แบบสมบูรณ์ หรือจะคิดแบบวิธีลัดล่ะ"



ไม่ว่าจะคิดยังไง คิดวิธีไหน มันก็ต้องได้คำตอบเดียวเสมอ
มันถึงจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
หากโจทย์มันเป็นคำถาม ไม่ใช่โจทย์มันเป็นคำตอบ


ทีนี้พวกเธอมองออกหรือยัง ว่าวิชาคณิตศาสตร์มีประโยชน์กับพวกเธอยังไง



นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ผมเริ่มเปิดใจให้กับหลายสิ่งในชิวิตมากขึ้น
ไม่เคยปฎิเสธอะไร

เพราะ

ดอกเตอร์ เขียนสารพัดสูตรลงไปบนกระดานดำ
สูตรต่างที่เราไม่เคยรู้จัก แลัวอธิบายต่อว่า
วิธีการแก้โจทย์ก็คือการใช้สูตรต่างๆ
หากเราไม่รู้จักสูตรหรือใช้สูตรไม่ถูกต้อง คำตอบก็มักผิดเสมอ


ลองกลับไปดูที่ชีวิตเธอซิ ตอนนี้เธอรู้จักสูตรในชิวิตมากแค่ไหน
รู้จักอะไรบ้าง เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพื่อเป็นสูตรในการแก้ปัญหาบ้าง


การเรียนเลขก็เป็นสูตรหนึ่งที่พวกเธอต้องรู้จัก
ตรรกะของงานที่แท้จริงที่คือ มันต้องทำซ้ำได้

เห็นไหมว่า คณิตศาสตร์ทำซ้ำได้ เกิดการถ่ายทอด เกิดการต่อยอด
จะมีค่าอะไรถ้าหากผลงานของเธอ ทำซ้ำไม่ได้ แล้วไม่มีใครต่อยอดได้


เธอเคยเห็นป้ายบอกทางไหม....?

หากป้ายนั้นไร้ซึ่งตัวเลข
เธอจะรู้ไหมว่ามันจะจบ หรือ สิ้นสุดเมื่อใด

ชิวิตเธอก็เช่นกัน

เธอควรจะรู้จักตัวเลขและทำความเข้าใจสูตรต่างๆ
แล้วเลือกออกมาแทนค่า เพื่อหาผลลัภพ์ของมัน


คณิตศาสตร์คือส่วนหนึ่งของชีวิต ชิวิตจำเป็นต้องมีคณิตศาสตร์

บุคคนต่างๆ ในชิวิตของเธอก็เหมือนกับตัวเลขหนึ่งตั
เครื่องหมายต่างๆ ก็เหมือนกับ อาวุธ การเรียนรู้ คำพูดและบทสนทนา


เราต่างเป็นนักเดินทาง ด้วยกันทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเลือกเดินแบบไหน แบบสั้น แบบยาว แบบทางลัดหรือแบบสมบูรณ์
เราก็มีการเดินทางเป็นของตัวเองอยู่ดี


เพราะเธอรู้แล้วนี่ว่า ป้ายบอกทางของเธอคือตัวเลขอะไร


ป้ายนี้ ..... มีโจทย์ว่า

"พี่กุ้ง ลบ พี่ชัย หาร ลุงเพิ่ม คูณด้วยคุณแม่ บวกคุณพ่อ ยกกำลัง น้องจั๊ก แล้วทั้งหมดสแควร์รูทด้วยคุณครู "


ว่าไง ....ได้คำตอบหรือยัง

สมุดเล่มเล็ก...ในใจ

การวัดการเดินทางที่ดีที่สุดคือเพื่อน ไม่ใช่ระยะทาง

ข้อความจากสมุดบันทึกนี้ได้หล่นออกมาจาก

การจัดชั้นหนังสือใหม่ ภายในห้องนอนของผม
ผมจำไม่ได้ว่าเขียนมันเอาไว้ตอนไหน
แต่มันก็มีอำนาจพอที่จะทำให้
หยิบสมุดเล่มนั้นออกมาอ่านอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าสีของปกสมุดจะเก่าและซีดจางเพียงใดก็ตาม
แต่เรื่องราวต่างๆภายในมันไม่ได้เก่าตามไปเลย


ผมบรรจงนั่งลงอ่านมันอย่างช้าๆ
ถ้อยคำต่างมันแล่นออกมาจากหน้ากระดาษอย่างต่อเนื่อง
ทุกบรรทัดอัดแน่นด้วยวันที่ เวลา ระยะทาง
และความทรงจำของสถานที่ต่างๆที่ผมไปเยือน


ผมปิดมันอย่างช้าๆและแทบจะไม่ต้องอ่านอะไรอีกแล้ว
เพราะมันคือสมุดบันทึกที่ผมใช้ระหว่างการเดินทาง


ภาพแห่งความทรงจำ
ต่างหวนกลับมาหาผมโดยแทบไม่ทันตั้งตัว
มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น และเกิดขึ้นเมื่อวาน


ปลายธันวาคม

1...

ผมอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งท่ามกลางขุนเขา ... ห่างไกล
มันดูเงียบและสงบ แต่ในใจผมซิ กลับตื่นเต้นและส่งเสียงดัง อยู่อย่างตลอดเวลา


2...
ไม่รู้ว่าจะมีใครได้ยินเสียงหัวใจของผมหรือเปล่า
เพราะรอบๆตัวผมนั้นเต็มไปด้วยผู้คนแปลกหน้า และภาษาที่ไม่คุนเคย
คงไม่มีใครรู้หรอกนะว่าผมพูดว่าอะไร


3...
ภาพตรงหน้าผมช่างตระการตาเสียจริง
ไม่เสียแรงที่วันนี้ผมดั้นด้นไต่ผาสูงและโขดหินตะปุ่มตะป่ำอันลาดชันขึ้นมาที่นี่
ตอนแรกคิดว่ามันจะเดินแบบง่ายๆ แต่ที่ไหนได้
การผ่านทุ่งหญ้าและหมู่บ้านที่ต้นทาง กลับกลายเป็นแค่โหมโรง ...เท่านั้นเอง


4...
ความพยายามของผมเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ปะปนระคนกันไป
ตามลักษณะของโขดหินที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า
ถึงแม้ผมจะลุกขึ้น ยืน เดิน ด้วยความปวดระบมของกล้ามเนื้อ
แต่ในใจผม ...มันกลับระคนปนเปไปด้วยจังหวะแห่ง ความหวัง .. ..


5...
เช้าวันนี้เป็นเช้าที่สดใส มีคนเคยบอกว่า..
เมื่อดวงตาได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
หัวใจก็รู้สึกอย่างที่ไม่เคยรู้สึก
วันนี้ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
ผมยืนนิ่งอยู่กับตัวเองด้วยความหวังเงียบๆ


6...
เมื่อหวนคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา
ผมพบว่าช่วงเวลาที่ได้ใชัชีวิตจริงๆนั้น
คือช่วงเวลาที่ผมได้ทำสิ่งต่างๆด้วยใจรัก
เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเรียงตามลำดับเวลา
ทว่าความสำคัญของเหตุการณ์ต่อตัวเรานั้น
เรียงตามลำดับของมันเอง
เปิดเผยต่อเนื่องเรียงกันอย่างไม่ขาดสาย


7...

บางครั้งเมื่อผมใคร่ครวญถึงผลอันยิ่งใหญ่
ที่เกิดขึ้นจากสิ่งเล็กน้อยๆ แล้ว
ผมก็อยากจะเชื่อว่า
โลกนี้ไม่มีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่สิ่งเดียวเลย
นี่คืออีกสิ่งหนึ่งที่ค้นพบ ในโลกอันไพศาลและต้องมนต์ขลัง


8...
ผมนั่งอยู่ที่นี่นานเหมือนกัน
เหมือนกับว่าดินแดนแห่งนี้พยายามจะบอกอะไรผม
ผมเงี่ยหูฟังอยู่พักหนึ่ง และในที่สุดก็พบคำตอบ


ผมวางสมุดบันทึกไว้ข้างตัว
นั่งดูรูปต่่างๆ ที่ทยอยวิ่งเข้ามาปะทะบนใบหน้า

ถึงแม้สมุดและภาพต่างๆจะถูกปิดลง
และถึงแม้นว่ามันจะหายไปไหนแล้วก็ตาม .....ไม่จะอย่างไรก็ตาม
ภาพความทรงจำของผมก็คงไม่มีทางเลือนหายไปอย่างแน่นอน
มันกลับชัดขึ้นๆ ทุกครั้งที่ผมหวนคิดถึงมัน

มันคือการเปลียนแปลงที่ดำเนินไปอย่างลึกซึ้ง
ผมจึงโอบกอดสิ่งเหล่านี้ด้วยความรัก


คัดลอกมาจากสมุดบันทึกซึ่งเขียนไว้เมื่อ

ธันวาคม 2546

ขณะไปถ่ายภาพยนตร์เรื่อง เฟวาโฟคารา ดวงตากับความรัก
ณ. เทือกเขา Annapurna
เมืองโฟคารา ประเทศเนปาล